คุยเรื่องชีวิต การทำงาน ข้อคิดในการดำรงชีวิตที่อิงหลักธรรมของ "ดาว พอฤทัย" ในวันที่เจ้าตัวตกตะกอนทางความคิด แล้วลุกมาทำ Vlog เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงผ่านรายการ "เรื่องของดาว"
“การที่คุณเมตตา ให้อภัย คุณไม่ได้เสียเปรียบใครเลย เพราะคุณมีความสุข จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องของการเป็นแม่พระ ไม่ใช่เรื่องของการเสียเปรียบ วันหนึ่งที่คุณทำได้ มันจะไม่มีใครทำอะไรคุณได้เลยนอกจากคุณจะดาวน์ของคุณเอง ซึ่งถ้าดาวน์เองก็ต้องขึ้นมาด้วยตัวเอง”
ประโยคเหล่านี้ไม่ได้ออกมาจากปากของไลฟ์โค้ช หรือผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมะ แต่เป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตของ ‘ดาว – พอฤทัย ณรงค์เดช’ สาวสวยที่มักจะมีคำว่าไฮโซ แฟชั่นนิสต้าห้อยท้าย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงเก่ง เป็น working woman ที่ทำงานหนัก แต่สามารถแบ่งเวลาดูแลครอบครัวได้อย่างลงตัว
วันนี้ ‘จุดประกาย’ จะพาไปคุยแบบเปิดอกกับคุณดาว ‘พอฤทัย ณรงค์เดช’ ในวันที่เธอตัดสินใจเปิดเผยตัวตนผ่านการทำ Youtube Vlog ที่ชื่อ ‘เรื่องของดาว’
‘ดาว - พอฤทัย ณรงค์เดช’ บอกกับเราว่าคนมักไม่ค่อยรู้เรื่องงานหลายๆ ชิ้นที่เธอทำอยู่เบื้องหลัง เพราะเธอไม่ค่อยโพสต์เรื่องงานให้ได้รับรู้กันซักเท่าไร โดยชีวิตการทำงานของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังเรียนจบปริญญาโทด้าน MBA จากมหาวิทยาลัยเคนท์ ประเทศอังกฤษ แล้วไปเรียนทำอาหารและขนมต่อที่ Le Cordon Bleu จนจบหลักสูตร Grand Diploma
เธอกลับมาเปิดร้านอาหาร D’caf ที่เมืองไทยในราว ๆ ปี พ.ศ. 2531-2532 ทั้งขายอาหาร และเปิดคอร์สสอนทำอาหารเล็ก ๆ ด้วย เธอเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังอย่างมีความสุข รับรู้ได้ถึงความลุย และความสนุกกับการทำงานของเธอ
“ทำอาหารนี่ดาวเริ่มจากศูนย์เลยนะคะ ตอนนั้นพี่เอ (ดวงพร บุณยะจินดา) เพิ่งจบดีไซเนอร์จากฝรั่งเศสก็มาเปิดร้านเสื้อคู่กัน แล้วน้องดัง (พันกร บุณยะจินดา) ก็ออกเทปในเวลาเดียวกัน เป็นชีวิตที่ช่วยกันหมด ดาวทำเมนูเทสติ้งตอนกลางคืน น้องชายไปอัดเสียงกลับมาก็มาชิม เวลาคุณพ่อมีแขกผู้ใหญ่มาดาวก็ทำอาหารไปรับรอง เราลองผิดลองถูกกันมา บุกไปตลาดคลองเตยจนกระทั่งรู้จักแม่ค้าขายปลา เจ๊เยาว์ ที่วันหนึ่งเปลี่ยนชุด ใส่ทองเต็มตัวมาอุดหนุนร้านดาว
มันเป็นความสุข ดาวรับออเดอร์เอง เป็นแคชเชียร์เอง ทำอาหารเอง เป็นช่วงชีวิตที่เราได้สนุกเต็มที่ ตั้งแต่เดย์วันเลย คุณแม่เปิดร้านให้ แต่ไม่ได้ให้เงินลงทุนเราซักบาทเดียว แต่เราก็รันมาได้ด้วยเงินที่หามา เป็นการทำงานที่แฮปปี้ ได้ประสบการณ์ชีวิต แล้วทุกคนก็ยังพูดถึงกันมาจนทุกวันนี้ทั้งที่ผ่านมาร่วม 21 ปีแล้ว”
พอแต่งงานกับ ‘ณพ ณรงค์เดช’ คุณดาวก็เข้าไปช่วยสามีทำการประกวดร้องเพลง KPN Awards ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีรายการเรียลลิตี้โชว์เข้ามา จึงมีความพยายามปรับการประกวดร้องเพลงให้ทันสมัย เธอเข้าไปเสนอผู้ใหญ่ทุกช่องเป็นเวลา 3 ปี จนในที่สุดได้เวลาของช่อง 9 มา ซึ่งประสบการณ์จากตรงนี้ทำให้เธอได้ต่อยอดทำรายการทีวีทางช่อง 3 ชื่อ Wherever มี อ้น สราวุธ มาตรทอง เป็นพิธีกร จากนั้นก็ขยับขยายมาเป็นรายการอิ่มละไม, เดอะ ไดอารี่ ฯลฯ
- ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ‘อีทีซี – หนึ่ง จักรวาล’
นอกเหนือจากการทำคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ อย่าง The Famous Five a Tribute to Hydra ที่ดาว พอฤทัยบอกว่าไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเธอทำ เธอเขียนสคริปต์เองทั้งหมด และการทำเทศกาลดนตรี Bangkok City Music Fest ที่สวนเบญจสิริ ซึ่งเธอเคลมว่าเป็นคนแรกที่นำศิลปินต่างค่ายต่างแนวมารวมกัน เป็นครั้งแรกที่ศิลปินค่ายแกรมมี่กับค่ายอาร์เอสยื่นบนเวทีเดียวกันสำเร็จ ดาวพอฤทัยยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินดัง 2 ราย นั่นคือ วงอีทีซี (ETC.) และ หนึ่ง จักรวาล
ดาวบอกว่า โซ่ (แมนลักษณ์ ทุมกานนท์ หัวหน้าวง ETC.) ติดต่อมาบอกว่าอยากให้เธอเป็นคนดูแลวงอีทีซี ก็เลยตัดสินใจลุยไปด้วยกัน
“สิ่งที่เราทำไม่ได้เป็นแพทเทิร์น มันทำจากใจหมดเลย เช่น เราเห็นว่าหน้าตาเสื้อผ้าหน้าผมพวกเขาดูไม่ได้ก็พาไปตัดผม ส่งช่างไปนวดหน้า ให้คุณสัญชัย สไตลิสต์ที่ดังมากของเมืองไทย มาเป็นสไตลิสต์ให้ แล้วมีพี่ณัฐ ประกอบสันติสุข เป็นคนถ่ายปก”
ดาว พอฤทัย โดดเข้าไปทำมิวสิควีดิโอเพลง ‘เธอคือใคร’ ให้อีทีซี รวมไปถึงการจัดคอนเสิร์ตแรกในชีวิตของพวกเขากับ ‘Etc. Me & My Girls Concert’ ซึ่งมีการปิดโรงหนังสกาลาทำคอนเสิร์ตกัน 2 รอบ เรื่อยมาจนถึงคอนเสิร์ต ‘Etc. Bring It Back Concert Live at Indoor Stadium’ ที่มีจำนวนบัตร 7,000 ที่นั่ง และโซลด์เอาท์ทุกที่นั่ง
อีกคนที่โชคชะตาพาไปคือ ‘หนึ่ง จักรวาล’ ที่เป็นทีมซัพพอร์ตเวลาที่เธอจัดคอนเสิร์ต โดยหนึ่ง จักรวาลได้ตกลงเซ็นสัญญากับเธอถึงสิบปีโดยไม่อ่านสัญญาแม้แต่ตัวเดียว
“มันไม่ใช่ธุรกิจ-ธุรกิจ ดาวเชื่อว่าคนที่มีความสามารถระดับนี้เค้าอยากมีอัลบั้มเป็นความภูมิใจ แล้วตอนนั้นดาวรู้สึกว่ายังมีกำลังซัพพอร์ตในจุดนั้นได้ก็ทำ ตอนนั้นจักรวาลเป็นแบ็คอัพ ใครจะให้จักรวาลเป็นแบ็คอัพเราก็ไม่ว่านะ แต่ว่าขอให้จักรวาลขึ้นมานั่งเล่นดนตรีอยู่ข้างหน้า ทุกคนรู้จัก เดวิด ฟอสเตอร์ใช่ไหม ขอไฟมาด้านหน้า ให้เห็นว่ามีคน ๆ นี้นั่งอยู่ นั่นเป็นจุดที่คนได้เห็นความสามารถของพี่หนึ่ง ไม่ใช่ด้วยดาวนะ แต่ด้วยตัวพี่หนึ่งเองที่มีความสามารถ วันนี้ดีใจที่มีคนเห็นความสามารถ เห็นพี่หนึ่งประสบความสำเร็จ”
- ใช้ ‘หัวใจ’ ทำงาน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ดาว พอฤทัย ไม่ใช่โปรดิซเซอร์ ไม่ใช่คนที่ทำงานอยู่ในสายดนตรีโดยตรง แต่ทำไมมีศิลปินเก่ง ๆ ไว้วางใจในตัวเธอ สำหรับเรื่องนี้ดาวบอกว่าน่าจะเป็นเพราะเธอใช้หัวใจในการทำงาน
“ ในที่สุดแล้วมันกลับมาหาธรรมะหมดเลย มันคือ อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อันนี้เราพูดให้ยาก แต่ถ้าพูดให้ง่ายคือ ถ้าเรารักสิ่งที่ทำเราก็จะมีความใส่ใจ ขยัน เอาใจใส่ ขวนขวาย ‘จิตตะ’ คือเอาใจใส่ นึกในหัวใจเสมอ ถ้าเราทำงานแล้วมันสนุกเราจะไม่นึกว่ามันเป็นการทำงาน ‘วิมังสา’ หมั่นตรวจสอบ เราบกพร่องตรงไหน เราจะเก่งได้ยังไง ใครพูดอะไรเราก็เอามาพัฒนา เอามานั่งคิด ถ้าทุกคนทำแบบนี้ มันจะไม่สำเร็จได้เหรอ”
ดาวไม่ค่อยพูดเรื่องงานที่ไหนเพราะเรารู้สึกว่าผลงานที่ออกไปมันบอกแล้ว และมันทำให้เรามีความสุขแล้วมันก็ไม่จำเป็น คืออย่างวันนี้บางคนรู้ว่าดาวทำอีทีซี บางคนก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือ น้องๆ อีทีซีจะระลึกถึงเราเสมอ นั่นคือสิ่งที่เราสุขใจ หรือวันที่เราเห็นหนึ่ง จักรวาล มีแฟนคลับ ได้ค่าตัวมากมายเราก็ดีใจแล้ว”
- ก้าวมาเป็นผู้จัดละคร
จากนั้นก็มีโอกาสได้มาจัดละครให้ช่อง 3 ทำละครมา 4 เรื่อง แหม่มแก้มแดง, พับพลึงสีชมพู, เพลิงนรี และด้วยแรงอธิษฐาน ระหว่างนั้นทำซีรีส์เพลงชื่อ My melody 360 องศารัก สิ่งที่ภูมิใจอีกอย่างหนึ่งคือได้ทำละครเวทีที่รัชดาลัยเธียเตอร์ The Sound of Music ภาษาไทย ดาวดูละครเรื่องนี้ตั้งแต่ฟังภาษาอังกฤษไม่เป็น ร้องจนกระทั่งเราเข้าใจว่าเค้าพูดอะไร ความฝันที่เป็นจริงอยู่ดีๆ มันก็ลงล็อก
แต่มันก็มีข้อที่เราไม่ได้เก่ง ละครเวทีเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา การแมเนจเมนต์ต่า งๆ บริหารจัดการ การโปรโมชั่นกำลังเราอาจจะไม่พอ คนพูดถึง ชอบใจ แต่เรารู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่านั้น ถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำอีก แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ แต่ยังเก็บฉากไว้อยู่เลย เผื่อว่าวันนึงจะได้ทำ
อีกอย่างหนึ่งคือได้เห็นเด็ก คือ The Sound of Music เนี่ยคุณภาพของคนร้องต้องดีจริงๆ เราฝึกเราสอนอย่างจริงจังแล้วสุดท้ายเด็ก ๆ เหล่านั้นกลายเป็นคนคุณภาพของสังคม เค้าได้ไปเล่นละคร ใช้ความเป็นเรฟเฟอร์เรนซ์ว่าเล่น The Sound of Music หรือผู้ใหญ่ในประเทศมาดู แค่นั้นเราก็ปลื้ม มีความสุขแล้ว เราได้เห็นความมีวินัยของคนเล่นละครเวที มันก็สนุกมาก
รายการก็เปลี่ยนไปตามกระแสจนถึงตอนนี้มีรายการทีวีเหลืออยู่เพียง TheQueen ราชินีโต๊ะกลม ซึ่งเป็นรายการที่กลายเป็นความผูกพันธ์ระหว่างพิธีกรและทีมงาน พยายามทำให้มันเป็นรายการที่ดูได้ เข้าใจในไลฟ์สไตล์ของคน ดูเพื่อนๆ
- สานต่อ ‘มูลนิธิบุญยะจินดา’ ของคุณพ่อ
นอกเหนือจากงานในแวดวงบันเทิงแล้ว ดาว พอฤทัย มีบทบาทอีกอย่างคือการสานต่อ ‘มูลนิธิบุณยะจินดา’ ของคุณพ่อ (พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ) ซึ่งเธอบอกว่าเล่าได้ตั้งแต่วันแรกว่าทำไมมูลนิธิถึงได้ก่อกำเนิดขึ้นมา
“มันเริ่มจากการที่คุณพ่อบอกว่าเราไม่มีเลยนะสโมสรตำรวจ ทัพอื่นเค้ามีกันหมดเลย ตำรวจจะแต่งงาน สัมมนาอะไรก็ไม่มี สนามกีฬาก็ไม่มี ในเมื่อของบไม่ได้ งั้นเราก็หาทุนจัดตั้งเป็นมูลนิธิบุณยะจินดาขึ้นมา จุดประสงค์ของท่านชัดเจนเลยว่าเพื่อตำรวจและครอบครัว
ก่อนคุณพ่อเสียดาวก็แค่ไปร่วมงาน จนวันที่คุณพ่อเสีย ดาวได้มีโอกาสเข้ามาแล้วได้ยินคนสรรเสริญพูดถึงคุณพ่อ ได้ยินน้อง ๆ ที่ได้ทุนจากเรากลับมาบอกว่าทุนนี้เป็นความฝันของพวกเขา เราเห็นคุณแม่ลงพื้นที่ ประจวบกับช่วงนั้นมีโควิด ตำรวจก็ลงพื้นที่ทุกหน่วยทั่วประเทศ เรามีโอกาสเข้าไปร่วมอย่างจริงจัง แล้วยิ่งช่วยก็ยิ่งรู้สึกว่าความช่วยเหลือแบบนี้ยังต้องการอยู่
อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำให้ใคร เราทำให้พวกพ้องของเรา เราทำเพื่อคุณพ่อของเรา อยากให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไป ในวันนี้ ทุกครั้งที่เหยียบมูลนิธิบุณยะจินดา ดาวพูดได้ว่ามันเป็นความภูมิใจของคุณพ่อจริงๆ”
- my life is my content
สำหรับเรื่องที่ตัดสินใจทำ Youtube Vlog ‘เรื่องของดาว’ นั้น พอฤทัย ณรงค์เดช บอกว่าจริงๆ เคยลองทำเทปโดโมมาตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว แต่รู้สึกว่าไม่ชอบพูดเรื่องตัวเอง จนกระทั่งทุกอย่างมันสุกงอม
“ตอนแรก ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง แต่เราเชื่อว่าการเป็นตัวตนมันจะอยู่ได้นานและดีที่สุด เราเลยบอกว่า my life is my content คือเราจะไม่หลอกคนดู เราเป็นยังไงเราพูดยังงั้น เพราะฉะนั้น Vlog ของดาวมันจะเกิดจาก schedule ของดาวจริงๆ มันประกอบไปด้วยสิ่งที่เราทำทุกวัน กับการที่เราทำแบบนี้ได้ยังไง หรืออดีตเราเป็นยังไง”
“ปัจจุบันทุกอย่างมันฉาบฉวยไปหมด เด็กสมัยนี้เค้าจะได้รู้สึกว่าเค้าไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ปัญหาเราก็มี ชีวิตดาวไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โรยด้วยหนามด้วยซ้ำ แต่ว่าเราไม่เคยเจ็บ เราข่วน ๆ แล้วก็กลับมารักษา แล้วในวันที่เราบอกว่าอะไรโดนก็ไม่เจ็บแล้ว เราคิดว่า ไม่มีใครที่จะทำอะไรเราได้เพราะหัวใจเราแข็งแรง”
ฟังแบบนี้อาจจะมีบางคนเถียงว่าก็ ดาว - พอฤทัย ณรงค์เดช มีพร้อมทุกอย่างก็พูดได้ง่าย ๆ น่ะสิ
แต่เธอตอบกลับมาทันทีว่า ไม่จริง คนที่มีทุกอย่างไม่ใช่คนที่มีความสุข แล้วไม่มีใครมีทุกอย่างด้วย
“ดาวมีโอกาสได้เห็นคนมาเยอะ ด้วยตำแหน่งของคุณพ่อคุณแม่ (พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา) ได้เห็นถึงความไม่เที่ยงหลาย ๆ อย่างตั้งแต่เด็ก”
- ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วย ‘สติ’
พอฤทัยบอกว่าเพื่อนๆ ชอบบอกว่าเธอโลกสวย แต่เธอไม่ได้โลกสวย เธอแค่เข้าใจแล้วปล่อยมันไป เข้าใจแล้วให้อภัย
“การให้อภัยไม่ได้แปลว่าเราไม่โกรธ แต่เราเอาชนะความโกรธแล้วเห็นถึงต้นเหตุของปัญหา ถ้าคนเค้าจะมองว่าเราไม่ดี เป็นคนเลว ถ้าเค้าอยากว่าเราก็เชิญว่า ถามว่าเราสนใจไหม เราสนใจว่าตัวเองเป็นยังงั้นรึเปล่า ถ้าเราเป็นคนเลวเราต้องปรับปรุงตัวนะ ถ้าเราผิดเราต้องขอโทษ แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเราแล้วว่าทำทุกอย่างดีที่สุดและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน อย่างนั้นช่วยไม่ได้จริงๆ”
ดาว พอฤทัยบอกว่าการมีหัวใจที่แข็งแรงเกิดจากความเข้าใจ ซึ่งเธอได้มาจากการนั่งสมาธิมานาน โดยเริ่มจากการสวดมนต์บ่อยๆ ตามด้วยการนั่งสมาธิจนถึงระดับที่รู้ตัวเสมอ แล้วพอมีบททดสอบในชีวิตเข้ามามันจะเห็นเลยว่าถ้าเรามีสติ เราจะรอด
‘สติ’ แปลว่า ‘รู้ตัว’ แปลว่า ‘อย่าให้อารมณ์มาอยู่เหนือ’ คือเวลาพูดเป็นภาษาธรรมะมันดูดัดจริต มันดูเวอร์ มันดูเข้าใจยาก แต่จริงๆ มันก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นเอง คือพอทุกข์ก็รู้ตัวแล้วมันจะหยุดได้ แล้วหาเหตุแห่งทุกข์ หรือไม่งั้นก็อุเบกขาไปเลยถ้าแก้อะไรไม่ได้
สมัยนี้ด้วยความเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค ข้อมูลมันกระแทกเข้ามา คุณต้องเอาชนะโซเชียลเน็ตเวิร์คให้ได้ คุณต้องดูแล้วอย่าให้มันมามีผลกระทบต่อจิตใจ
ถ้าคุณมีอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ในเรื่องของการทำงาน มีอริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) แล้วคุณก็จะเกิดพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ซึ่งคุณจะเกิดพรหมวิหาร 4 ไม่ได้ถ้าคุณไม่แข็งแรงพอ อย่างเรื่องเมตตาเนี่ยบางคนก็จะมองว่าทำไมจะต้องไปเมตตาเค้าด้วย แต่จริงๆ แล้วคนที่มีเมตตาคือคนที่มีความสุข
ดาวและสามีไม่เคยทานยานอนหลับนะ หลับได้ทุกข์วัน เพราะฉะนั้น การที่คุณเมตตา คุณให้อภัย คุณไม่ได้เสียเปรียบใครเลย เพราะเรามีความสุข
จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องของการเป็นแม่พระ มันไม่ใช่เรื่องของการเสียเปรียบ แต่วันหนึ่งที่คุณทำได้มันจะไม่มีใครทำอะไรคุณได้นอกจากคุณจะดาวน์ของคุณเอง ถ้าดาวน์ก็ต้องขึ้นมาด้วยตัวเอง”
- ลูกศิษย์หลวงพ่อวิริยังค์
เห็นมาสายธรรมะแบบนี้ แต่พอฤทัยบอกว่าเธอไม่ไปปฏิบัติธรรมที่ไหนเลย จะปฏิบัติแต่ที่บ้าน โดยเธอเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวิริยังค์ ปฏิบัติตามคำสอนของท่านมาเกือบ 8 ปี และไม่ได้ฟังเพลงในรถมาตั้งแต่นั้น โดยจะเปิดเสียงเทศน์ของท่านฟังแล้วก็ค่อยๆ ซึมซับ
“มันบอกไม่ได้หรอกนะ วันหนึ่งที่คุณได้ คุณจะเข้าใจ แต่ก่อนเราโมโหลูกน้อง อยู่ออฟฟิศต้องขับรถไปเดี๋ยวนั้น แต่เดี๋ยวนี้จะคิดว่าพูดไปก็ไม่ได้อะไร ไว้รอวันจันทร์แล้วกัน พอถึงวันจันทร์ก็ให้อภัย เค้าทำได้แค่นี้ พูดไปก็เสียน้ำใจกันเปล่า ๆ เราก็พูดแต่ในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ถ้าพูดแล้วไม่ได้อะไร เราไม่พูดดีกว่า”
สำหรับวันที่ลุกขึ้นมาทำ Vlog ‘เรื่องของดาว’ เธอบอกว่าจิตก็ต้องพร้อมแล้วว่ามันต้องมีทั้งคนที่มองว่าดีและไม่ดี ชอบไม่ชอบ เราก็พร้อมที่จะรับฟัง
- เรื่องของดาว พอฤทัย
ใน Vlog ของดาวมันก็จะมีหลายมุม เริ่มตั้งแต่การใช้ชีวิต เรื่องของครอบครัว แต่ที่คนเรียกร้องจริงๆ คือ แฟชั่น แต่จะบอกว่าในชีวิตที่ผ่านมาเกือบ 48 ปีของดาวเนี่ย มีคนมาขอเปิดตู้ แต่งตัว ไม่เคยให้เลย ไม่เคยโชว์ของ แต่วันนี้ก่อนที่เราจะผ่านไปสู่วัยที่สูงอายุ เราขอเก็บที่เป็นความทรงจำนี้ไว้ใน Vlog ของเรา เพราะครั้งหนึ่งดาวเคยสูญเสียความทรงจำไปกับโทรศัพท์เครื่องหนึ่งเพราะเป็นคนแบ็คอัพไม่เป็น งั้นในช่วงที่เรายังพอไหวก็เอาเรื่องเหล่านี้มาเล่า เป็นเรื่องของเรานะ ใครไม่ชอบก็อย่าดู แต่ถ้าดูแล้วก็แต๊งกิว กดดิสไลค์ได้ ถือว่าอย่างน้อยยังดู
ดาวถือว่าอันนี้มันเป็นความทรงจำที่ถ้าเราแก่มากแล้ว ใส่ส้นสูงไม่ได้แล้ว แล้วชวนหลานกลับมานั่งดูแล้วบอกว่าคุณย่าเนี่ยเปรี้ยวไหม รูปต่าง ๆ ที่เราบันทึกไว้มันก็ไม่หายไปไหน ทำอาหารในรุ่น 20 ปีที่แล้วคนจำได้ว่าดาวทำอาหารจริงจัง ก็ได้สอนให้คนทางบ้านเอามาทำเล่น ทำเป็นอาชีพ เราบอกสูตรหมด เป็นเรื่องของการไปเลือกซื้อของ ไปท่องเที่ยว ครอบครัว ดนตรี เล่นมาตั้งแต่ 5 ขวบ มีน้องชายเป็นนักร้อง มีพี่สาวเป็นดีไซเนอร์ ตัดชุดยังไง ฯลฯ เราก็เลยมีเรื่องเยอะที่อยากเล่าที่ในวันนี้เราพร้อมที่จะเล่าพร้อมให้ประสบการณ์ แง่คิดที่มันจะสอดแทรกไป หรือดูเพลิน ๆ
ใครที่ดู ‘เรื่องของดาว’ ก็จะได้รู้จักตัวตนของดาวจริงๆ เพราะดาวเชื่อว่าที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต มีคนพูดถึงดาวในแบบที่อาจจะไม่ใช่ดาว เคยได้ยินตัวเองในเวอร์ชั่นที่คนอื่นช่วยเล่า
ถึงแม้จะเป็น working woman แต่ดาว พอฤทัยไม่มีปัญหาเรื่องให้เวลากับครอบครัวเลย เธอบอกว่าจะทานข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน พอพระอาทิตย์ตกก็จะถึงบ้านแล้ว เพราะเป็นคนไม่ชอบไปเที่ยวกลางคืน มีความสุขที่ได้อยู่บ้านกับครอบครัวมากกว่า
สำหรับการใช้ชีวิตนั้น เธอบอกว่าสังคมสมัยนี้มีอะไรให้เราอยากรู้อยากเห็น ข้อมูลข่าวสารเต็มไปหมด ก็ให้บอกตัวเองว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง ดีทุกอย่าง เราไม่จำเป็นต้องชนะทุกอย่าง เอาที่ตัวเองไหว ซึ่งที่สุดแล้วก็คือการรู้ตัวและเข้าใจโลกนี้
“ดาวเคยอยากให้โลกนี้กลับไปเป็นเหมือนสมัยที่ดาวเด็ก ๆ เดี๋ยวมันก็คงไปมั้งโซเชียลเน็ตเวิร์ค เราไม่ต้องปรับตัวหรอก แต่ในที่สุดเราก็เรียนรู้ว่ามันมี 2 อย่าง ถ้าไม่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คเลย อยู่บ้านเฉย ๆ มันสบายมาก แต่ถ้าเรายังต้องทำงาน มีลูก มีสังคมเราก็ต้องเล่น
เดี๋ยวนี้การไม่โพสต์คือการไม่ใช่ ถ้าเราไปบอกว่าเราขยันมากเลยนะ ไม่มีใครเค้าฟังคุณเพราะทุกคนเชื่อในรูปที่โพสต์ หรือคนที่ไม่ทำอะไร แค่โพสต์คนก็เชื่อ สิ่งนี้เราก็ต้องสอนลูกให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือตัวจริงหรือตัวปลอม
ต้องเข้าใจก่อนว่าโลกสมัยนี้มันคือการสร้าง ทุกคนสร้างได้ ในอดีตคุณต้องเป็นใครซักคนนึงนักข่าวถึงจะเข้ามาหา มาขอสัมภาษณ์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องคุณพูดในโซเชียลเน็ตเวิร์คของคุณเอง ในคาแรกเตอร์ที่อยากเป็น บ้านคุณเป็นยังไงไม่รู้ แต่ตัวตนข้างหน้าคุณเป็นอย่างงี้ แล้วคนก็เชื่อ
เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะเท่ที่สุดในตอนนี้ เราต้องดูคนให้ออก ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่ามันแท้หรือไม่แท้ มันอาจจะดูยากกว่าเพชรอีกนะคะ แต่วันใดถ้าเรามีสติที่จะแยกแยะสิ่งเหล่านี้ เราจะอยู่ในสังคมได้สบายๆ และไม่มีใครสามารถกดดันเราได้
พบกับความเป็นตัวตนของ พอฤทัย ณรงค์เดช ได้ใน Vlog on YouTube : เรื่องของดาว ที่เธอยังมีเรื่องสนุก ๆ น่าสนใจให้เราได้เห็นกันอีกเยอะ
March 23, 2021 at 02:50PM
https://ift.tt/3reVIoW
'พอฤทัย ณรงค์เดช' หัวใจแข็งแรงเพราะ 'สติ' - กรุงเทพธุรกิจ
https://ift.tt/2YfjZyP
No comments:
Post a Comment